การพูด




1.พูดชนะใจ
        บุคคลที่จะสามารถพูดเอาชนะใจคนได้ บุคคลนั้นต้องมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่าง เช่น

 1.มีความเชื่อมั่นในตนเอง บุคคลหลายคนอาจมีความรู้สูง มีพรสวรรค์ มีฐานะชาติกำเนิดที่ดี แต่บุคคลนั้นหากขาดซึ่งความเชื่อมั่น เขาไม่สามารถพูดเอาชนะใจใครได้เลย เพราะการที่จะให้ผู้ฟังเชื่อมั่นในตัวเรา ตัวเราจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองเสียก่อน ซึ่งการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูด เราคงต้องอาศัยเรื่องของการเตรียมตัว (เตรียมเนื้อหา เตรียมการพูด เตรียมตัวอย่าง เตรียมข้อมูลหลักฐาน มีการวิเคราะห์ผู้ฟัง มีการฝึกซ้อม ฝึกฝนการพูดอยู่เสมอ มีการอ่าน การฟัง ศึกษาหาความรู้อยู่เป็นนิจ ) 

2.มีจินตนาการ บุคคลที่จะสามารถพูดให้ชนะใจคนได้ บุคคลนั้นมักจะต้องมีจินตนาการ สมัยมุสโสลินี มีชีวิตอยู่ มีคนเคยเห็นมุสโสลินีเอามือเกาะหน้าต่าง แล้วมองท้องฟ้าสีครามอยู่เป็นเวลานานๆ หรือ สมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ยังมีชีวิตอยู่ มีคนเคยเห็นเขาชอบเหม่อมองทิวทัศน์ธรรมชาติ เป็นเวลานานๆ ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เขากำลังสร้างจินตนาการในทางการพูดของเขาต่อคนภายในประเทศ จินตนาการจึงเป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักบรรยาย นักพูด วิทยากร นักโต้วาที นักอบรมสัมมนา นักจัดรายการ ฯลฯ หากขาดซึ่งจินตนาการเสียแล้ว ท่านมักไปไม่ได้ไกล 

3.มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า บุคคลที่อยากจะเป็นนักพูดที่ชนะใจคน บุคคลนั้นจะต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าเสียก่อน เขาจะต้องมีความทะเยอทะยาน เขาจะต้องมีความมุ่งมั่น จิตใจจะต้องจดจ่ออยู่กับการพูด อีกทั้งเขาได้เห็นความสำคัญของการพูดของเขาในแต่ละครั้ง เขาจึงพัฒนาอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง 

4.มีศิลปะ อันที่จริงแล้ว การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ แต่บุคคลที่พูดเก่งมักจะมีการใช้ศิลปะที่เหนือชั้นกว่าบุคคลอื่นๆ ศาสตร์ท่านสามารถหาอ่านได้จาก ตำรา หนังสือ ฟังเทป ฟังวิชาการต่างๆ หรือเข้าไปอบรมเพื่อเอาความรู้ แต่ศิลปะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างผู้ที่เป็นนักพูดในแต่ละบุคคล 

5.มีความเป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะในที่นี้หมายถึง บุคคลนั้นจะต้องมีความกระหายอยากรู้เรื่องราวต่างๆที่สามารถนำไปพูดได้อย่างแรงกล้า อีกทั้งต้องทำการศึกษาเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง และมีคุณลักษณะความทรงจำที่สูง มีสมาธิสูง มีความกล้าหาญในการแสดงการพูด 

6.มีการ ฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน บุคคลนั้นจะต้องมีการฝึกฝนตนเองอยู่เป็นนิจ หาเวทีในการแสดงการพูดให้แก่ตนเอง หากไม่มีเวที ก็ต้องมีการฝึกฝนด้วยตนเอง บุคคลที่เป็นนักพูดชนะใจระดับโลก มีการฝึกฝนการพูดด้วยตนเองตามชายหาดทะเลบ้าง ฝึกฝนการพูดด้วยตนเองระหว่างเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ บ้าง ดังนั้น ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของการพูดให้ชนะใจคน ซึ่งบุคคลใดต้องการพูดให้ชนะใจจึงต้องนำหลักการข้างต้นไปใช้และนำไปฝึกปฏิบัติ ก็จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดที่ชนะใจคน

ศิลปะแห่งการชนะใจคน
ถ้ากำใจคนรอบข้างได้ โลกทั้งใบก็อยู่ในมือคุณ

                คนทุกคนต่างมีความต้องการอย่างหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ความต้องการที่จะเป็นที่รักของคนรอบข้าง การเอาชนะใจคนอื่นเป็นศิลปะอันละเอียดอ่อนที่ต้องเรียนรู้ เพราะคนชนะใจคนอื่นมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาสามารถนำพาสู่ความสำเร็จได้

                  1.  พูดอย่างมีศิลปะ คือพูดกับใครต้องใส่ใจคนฟัง ต้องฟังเขาพูดให้มาก การเรียกร้องความสนใจโดยการปรับระดับเสียงสูงต่ำ ภาษาที่พูดจะต้องเหมาะสมกับผู้ฟัง การพูดต้องไม่มีลับลมคมใน สร้างความเป็นกับเองกับคนฟัง พูดในสิ่งที่คนฟังสนใจ ใจกว้างรับฟังเหตุผลคนอื่นเป็นการให้เกียรติคนพูดด้วย พูดสุภาพอ่อนโยน ต้องทอดสายตาดูผู้ฟังขณะพูด โดยหลีกเสียงการโต้เสียงกับผู้ฟัง ขณะพูดยกตัวอย่างให้เขาเข้าถึงความคิดของเรา
                2.  คุยอย่างไรให้ชนะใจเขา เราต้องคุยในเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ในความสนใจของผู้คน คุยถึงเรื่องงาน คุยถึงงานอดิเรก ตลอดจนคุยในเรื่องขบขัน
3.  หลักการสำคัญสำหรับผู้บริหารในการเอาชนะใจคนอื่น 20  ประการ คือ

                    
                     3.1  มีจุดมุ่งหมายที่ เป็นเป้าหมายของคุณ
                     3.2  มีความไว้วางใจในความสามารถของคนอื่น
                     3.3  มีความเป็นนักสังเกตการณ์
                     3.4  มีการให้สิ่งตอบแทน
                     3.5  มีวิธีกระตุ้นให้เขาเชื่อมั่นในตนเอง
                     3.6  มีความรื่นเริง
                     3.7  มีการเสริมจุดเด่นไม่เน้นจุดอ่อนใคร
                     3.8  มีวิธีใช้คนอย่างไร้กรอบขอบเขต
                     3.9  มีความชัดเจนในความต้องการ
                     3.10 มีหนทางที่ดีกว่าเสนอ
                     3.11 มีการยอมรับในการผิดพลาดของคนอื่น
                     3.12 มีการกระตุ้นด้วยการแข่งขัน
                     3.13 มีกลวิธีปฏิเสธด้วยความนุ่มนวล
                     3.14 มีเหตุผลชี้แจงเสมอ
                     3.15 มีความเข้าใจปัญหา
                     3.16 มีเทคนิคการบริหารเวลา
                     3.17 มีเทคนิคสื่อสารที่ยอดเยี่ยม
                     3.18 มีความเป็นผู้บริหารที่ดี
                     3.19 มีความคิดที่จะสร้างสุขใจให้ทุกคน
                     3.20 มีความเป็นนกลางไม่เปรียบเทียบใคร
http://asset.mebmarket.com/meb/server1/10608/Thumbnail/middle.gif






เคล็ดลับและมารยาทในการพูด

          การพูด มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เป็นอันมาก ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ประกอบกิจการงานใด หรือคบหาสมาคมกับผู้ใด ก็ต้องสื่อสารด้วยการพูดเสมอ จึงมักพบว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในกิจธุระการงาน การคบหาสมาคมกับผู้อื่น ตลอดจนการทำประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม ล้วนแต่เป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการพูดทั้งสิ้นส่วนหนึ่งของการพูดสามารถสอนและฝึกได้ อาจกล่าวได้ว่า การพูดเป็น " ศาสตร ์" มีหลักการ และกฎเกณฑ์เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะ ถึงขั้นเป็นที่พอใจอีกส่วนหนึ่งเป็นความสารถพิเศษหรือศิลปะเฉพาะตัวของผู้พูดแต่ละบุคคล บางคนมีความสามารถที่จะตรึงผู้ฟังให้นิ่งอยู่กับที่จิตใจจดจ่ออยู่กับการฟังเรื่องที่พูด ผู้พูดบางคนสามารถพูดให้คนฟังหัวเราะได้ตลอดเวลา
          ศิลปะเฉพาะตัวนี้ เป็นสิ่งที่ลอกเลียนกันได้ยาก แต่อาจพัฒนาขึ้นได้ในแต่ละบุคคล ซึ่งการพูดที่มีประสิทธิภาพเกิดจากการสังเกตวิธีการที่ดีและมีโอกาสฝึกฝน ประเภทของการพูด แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. การพูดระหว่างบุคคล ได้แก่ การทักทายปราศัย ลักษณะการทักทายปราศัยที่ดีดังนี้ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงอาการยินดีที่ได้ พบผู้ที่เราทักทาย กล่าวคำปฏิสันถารที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม เช่น สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ แสดงกิริยาอาการประกอบคำปฏิสันถาร ข้อความที่ใช้ประกอบการทักทายควรเป็นเรื่อง ที่ก่อให้เกิดความสบายใจ การแนะนำตนเอง การแนะนำเป็นสิ่งจำเป็น และมีความ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน บุคคลอาจแนะนำตนเองใน หลายโอกาสด้วยกัน การแนะนำตนเองมีหลักปฏิบัติดังนี้คือ ต้องบอกชื่อ นามสกุล บอกรายละเอียดกับตัวเรา และบอกวัตถุประสงค์ในการแนะนำตัว การสนทนา หมายถึง การพูดคุยกัน พูดจาเพื่อนสื่อสาร แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ การรับสารที่ง่ายที่สุด คือ การสนทนา คุณสมบัติของการสนทนาที่ดี คือ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาที่ง่าย ๆ สุภาพ คำพูดและน้ำเสียงน่าฟัง เป็นกันเองกับคู่สนทนา

 2. การพูดในกลุ่ม การพูดในกลุ่มเป็นกิจกรรมที่สำคัญในสมัยปัจจุบัน ทั้งในชีวิต ประจำวันและในการศึกษาเป็นเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มได้ซักถาม แสดงความคิดเห็น หรือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมาเล่าให้ฟังกัน มีวิธีการดังต่อไปนี้ เล่าถึงเนื้อหาและประเด็นประเด็นสำคัญ ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ภาษาที่ใช้ควรเป็นภาษาที่ง่าย น้ำเสียงชัดเจนน่าฟัง เน้นเสียงในตอนที่สำคัญ ใช้กิริยาท่าทางประกอบการเล่าเรื่องตามความเหมาะสม ผู้เล่าเรื่อควรจำเรื่องไดเป็นอย่างดี มีการสรุปข้อคิดในตอนท้าย

1. ความหมายของการพูด การพูดเป็นพฤติกรรมการสื่อสารที่ใช้กันแพร่หลายทั่วไป ผู้พูดสามารถใช้ทั้งวจนะภาษาและอวัจนะภาษา ในการส่งสารติดต่อไปยังผู้ฟังได้ชัดเจนและรวดเร็วการพูด หมายถึง การสื่อความหมายของมนุษย์โดยการใช้เสียง และกิริยาท่าทางเป็นเครื่องถ่ายทอดความรู้ความคิด และความรู้สึกจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง วาทการ เป็นคำศัพท์หนึ่ง ซึ่งทางวิชาการนิยมใช้แทน การพูด พจนานุกรมราช-บัณฑิตยสถาน (2513:831) ได้ให้ความหมายของคำว่า “วาท” หมายถึง คำพูด ถ้อยคำ,ลัทธิรวมกันเข้าเป็นวาทการ “วาทการ” หมายถึง กิจพูดหรือกิจเกี่ยวกับถ้อยคำ, งานพูดหรืองานเกี่ยวกับถ้อยคำในการสื่อสาร การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง รวมทั้งกิริยาอาการถ่ายทอดความรู้ความคิดและความรู้สึกของผู้พูดให้ผู้ฟังได้รับรู้และเกิดการตอบสนอง ในการติดต่อสื่อสารด้วยการพูด ผู้พูดจะต้องระลึกว่าไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นจะต้องรู้จักพูดให้ดีด้วย ดังนั้นการพูดที่ด ีมีความหมายดังนี้ การพูดที่ดี คือ การใช้ถ้อยคำ น้ำเสียงรวมทั้งกิริยาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตาม จรรยามารยาทและประเพณีนิยมของสังคม เพื่อถ่ายทอดความคิดความรู้ ความรู้สึกและความต้องการ ที่เป็นประโยชน์ ให้ผู้ฟังได้รับรู้และเกิดการตอบสนอง สัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมายของผู้พูดมีนักการศึกษาหลายคนให้ความหมาย ของการพูดไว้พอจะสรุปได้ ดังนี้ การพูดคือกระบวนการสื่อสารความคิดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง โดยมีภาษาน้ำเสียงและอากัปกิริยาเป็นสื่อการพูดคือการแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกโดยใช้ภาษาและ เสียงสื่อความหมายการพูด เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีอานุภาพมากที่สุดในโลกการพูด เป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้าใจ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

 2. ความสำคัญของการพูด การพูดเป็นปัจจัยสำคัญของกระบวนการสื่อสารของมนุษย์มาแต่สมัยโบราณ คนสมัยเก่าใช้วิธีพูดด้วย การบอกเล่าต่อๆ กันเพื่อประโยชน์ต่อการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกๆ หลานๆหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับตน สืบเนื่องกันมาไม่ขาดสาย ปัจจุบันการพูดก็ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นทั้งนี้เพราะโลกได้มีความเจริญก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เกิดมีนวัตกรรมทางการศึกษา ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้แก่ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ภาพยนตร์แถบบันทึกเสียงและภาพ สื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้แพร่หลายอยู่ทั่วประเทศโดยเฉพาะ อย่างยิ่งคือ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์มีส่วนช่วยให้การสื่อสารทางการพูดให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง ทั้งในด้านการศึกษาและการเรียนรู้ทุกชนิดได้อย่างรวดเร็วอิทธิพลของคำพูดสามารถทำให้ผู้พูดประสบ ความสำเร็จในด้านต่างๆมาแล้วจำนวนมากโดยเฉพาะอาชีพด้านการพูด เช่น ครูอาจารย์ พระสงฆ์ นักการเมือง นักประชาสัมพันธ์ ฯลฯ การพูดดีย่อมถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นที่จะสร้างศรัทธา ความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ฟังในทางพระพุทธศาสนา ยกย่องการพูดดีว่า วจีสุจริต หรือ มธุรสวาจา เพราะเป็นการพูดในทางสร้างสรรค์ เป็นการพูดของคนฉลาด สามารถให้เกิดประโยชน์แก่ผู้พูดและผู้ฟัง ดังสุนทรภู่จินตกวีเอกของไทยได้ประพันธ์กล่าวถึงความสำคัญของ การพูดไว้ในสุภาษิตสอนหญิงว่า” เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีม ีคนเขาเมตตา จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ”ในนิราศภูเขาทอง ท่านสุนทรภู่ก็ได้ประพันธ์เน้นความสำคัญ ของการพูดเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา “

 3. จุดมุ่งหมายของการพูด การพูดแต่ละครั้งมีจุดมุ่งหมายต่างกัน ผู้พูดจะต้องรู้จักจุดมุ่งหมายที่พูดได้อย่างถูกต้องตรงความ ต้องการของผู้ฟังมีนักพูดบางท่านเวลาพูดในโอกาสต่างๆ ไม่เข้าใจไม่รู้ซึ้งถึงความมุ่งหมายที่เขาต้องการให้พูด แต่กลับไปพูดนอกเรื่องที่ไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ ก็เป็นผลทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายไม่ได้รับประโยชน ์จากการฟังเท่าที่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้นักพูดที่ดีจะต้องศึกษาวิเคราะห์ให้เข้าใจความมุ่งและวัตถุประสงค์ที่จะพูด แต่ละครั้งให้ชัดเจนและพูดตรงกับความมุ่งหมายที่วางไว้ โดยกำหนดได้ดังนี้ 1) การพูดเพื่อให้ความรู้หรือข้อเท็จจริงแก่ผู้ฟังการพูดแบบนี้เป็นการพูดโดยอาศัยข้อมูลต่าง ๆ ในเรื่องที่ผู้ฟังต้องการจะทราบ การพูดต้องพูดให้ตรงประเด็นและหัวข้อที่กำหนดให้ บางครั้งผู้พูดต้องเตรียม อุปกรณ์ประกอบการบรรยายไปด้วย เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่พูดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การพูด เช่นนี้ ส่วนมากจะใช้วิธีการพูดด้วยการบรรยาย อธิบาย พรรณนา เล่าเรื่อง ชี้แจง สาธิตและวิธีเสนอรายงาน ฯ 2) การพูดเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังการพูดแบบนี้ ผู้พูดจะต้องใช้ศิลปะในการพูดหลายๆ แบบเพื่อจูงใจให ้ผู้ฟังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมีความคิดเห็นคล้อยตาม หรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้พูดตั้งความ มุ่งหมายไว้ เช่น การพูดชักชวนให้เลื่อมใสในลัทธิทางศาสนา การพูดให้ประชาชนเลือกตนเองเป็นผู้แทนของ นักการเมือง การพูดโฆษณาขายสินค้าของผู้แทนบริษัท ฯ 3) การพูดเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจแก่ผู้ฟังการพูดแบบนี้ ผู้พูดต้องเข้าใจว่า บรรยากาศในการพูดก็ดี ความต้องการของผู้ฟังก็ดี เป็นการพูดที่ผู้พูดจะต้องเน้นให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนาน บันเทิงควบคู่ไปกับการได้รับความรู้สึกนึกคิดที่แปลกใหม่ เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการพูดในลักษณะเสริมสร้าง ความนึกคิดของผู้ฟังให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับจิตใจของผู้ฟังในทางที่ดีมีความสุขในขณะที่ ฟังการพูด เช่น การกล่าวคำสดุดี กล่าวคำอวยพร กล่าวขอบคุณ หรือกล่าวคำปราศรัยในงานบันเทิงต่างๆ ที่จัดขึ้นในโอกาสต่างๆ

 4) การพูดเพื่อหาทางแก้ปัญหาหรือคำตอบต่างๆกับการพูดแบบนี้ ผู้พูดจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ที่พูดได้เป็นอย่างดีหรือสามารถตอบปัญหาต่างๆ ที่ผู้ฟังสงสัยอยากจะรู้อยากจะฟังจากผู้พูด จึงเป็นการพูด ในเชิงวิชาการหรือในแนวทางขจัดปัญหาข้อสงสัยต่างๆ ให้ปรากฏอย่างมีเหตุมีผล บางครั้งก็เป็นการพูดเพื่อ ตอบปัญหาของผู้ที่มีความสงสัยถามปัญหาขึ้นมา เช่น การพูดสัมมนาในทางวิชาการ การพูดตอบกระทู้ คำถามของรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี

 5) การพูดเพื่อแนะนำและชี้แนะเรื่องต่างๆการพูดแบบนี้ เป็นการพูดในเวลาจำกัดตามลักษณะเรื่อง แนะนำและเวลาที่จะอำนวยให้ ส่วนมากเป็นการพูดแนะนำบุคคล แนะนำการปฏิบัติงานและลักษณะ ของงานที่ทำของหน่วยต่างๆ การพูดให้คำแนะนำมุ่งการพูดเพื่อให้ผู้ฟังทราบเฉพาะข้อเท็จจริงต่างๆ อย่างย่อๆ พอกับเวลา ใช้กับการรายงานตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชา

             การแนะนำสรุปงานในหน้าท ี่ รั บผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชาในโอกาสตรวจเยี่ยม ฯ 4. องค์ประกอบของการพูด ธรรมชาติของการพูดโดยทั่วไปมีองค์ประกอบดังนี้
 1) ผู้พูด ผู้พูดทำหน้าที่ส่งสารผ่านสื่อไปให้ผู้ฟัง ดังนั้น ผู้พูดจะต้องมีความสามารถใช้ทั้งศาสตร์ และศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไปสู่ผู้ฟังให้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ความสามารถของ ผู้พูดที่จะทำให้ฟังได้เข้าใจมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ - ผู้พูดมีความสามารถในการใช้ภาษา เสียง และกิริยาท่าทางเพียงไรผู้พูดมีเจตคติต่อเรื่อง ที่จะพูด และต่อผู้ฟังแค่ไหน ผู้พูดมีระดับความรู้ในเรื่องที่พูดมากน้อย และลึกซึ้งเพียงใดผู้พูดมีฐานะทางสังคม พื้นฐานทางจริยธรรม และวัฒนธรรมอยู่ในระดับใด
 2) สาร เนื้อหาที่ผู้พูดส่งไปนั้นจะต้องมีคุณค่า และคุ้มค่าแก่การเสียเวลาของผู้ฟัง ดังนั้น สารที่ผู้พูดส่งไปนั้นจะต้องเตรียมมาแล้วอย่างดี เช่น การ คัดเลือก จัดลำดับขั้นตอน และการฝึกฝนตนเองของผู้พูด อีกส่วนหนึ่ง
 3) สื่อ หมายถึง สิ่งที่นำสารไปสู่ผู้ฟัง ได้แก่ เวลา สถานที่ อากาศ และเครื่องรับรู้ต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อื่น ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น
 4) ผู้ฟัง ผู้ฟังอยู่ในฐานะที่จะต้องรับสารของผู้พูดโดยอาศัยสื่อเป็นเครื่องนำพาผู้ฟังจะสามารถรับสาร ได้ตรงกับเจตนาของผู้พูดได้มากน้อยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ เช่น ทักษะ ความพร้อม ความสนใจ พื้นความรู้ วัฒนธรรม และเจตคติของผู้ฟังอีกด้วย
 5) ปฏิกิริยาจากผู้ฟัง ในขณะที่ผู้ฟังรับสารและแปลสารนั้น ก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบ เช่น เมื่อพูดถูกใจหรือเป็นที่พอใจ ก็จะมีอาการผงกศรีษะ ปรบมือหัวเราะ ยิ้ม และแสดงให้เห็นถึงการชื่นชมพร้อมกับตั้งใจฟัง แต่เมื่อพูดไม่ถูกใจหรือไม่พอใจ ก็จะมีการโห่และแสดงให้เห็นถึงความชัง และขัดแย้งต่อผู้พูด เป็นต้น 5. ส่งสารด้วยการพูด การพูดมีความสำคัญกับมนุษย์เราอย่างมาก ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ประกอบกิจกรรมใด ส่วนหนึ่ง ของการพูดนั้นสามารถสอนและฝึกกันได้ ซึ่งการพูดที่มีประสิทธิภาพเกิดจากการสังเกตและการฝึกฝน 
             (การพูดที่มีประสิทธิภาพหมายถึงการพูดที่ชัดเจน พูดได้ตรงตามความคิดของผู้พูดหรือเนื้อเรื่องที่พูด สามารถรวบรวมเนื้อหาได้ตรงประเด็น)การพูดแบ่งได้ 2 ประการ คือ การพูดระหว่างบุคคล และ การพูดในกลุ่ม • การพูดระหว่างบุคคล เป็นการพูดที่ไม่เป็นทางการ ไม่มีเนื้อหาจำกัดแน่นอน ทั้งผู้พูดและผู้ฟังไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า แต่เป็นการพูดที่ใช้มากที่สุด ใช้ในชีวิตประจำวัน การพูดชนิดนี้พอจะแยกได้ดังนี้
 1) การทักทายปราศรัย การพูดชนิดนี้เป็นการช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทั้งผู้ที่เรารู้จักอยู่แล้วหรือผู้ที่เรายังเคยไม่รู้จัก โดยการพูดชนิดนี้ผู้พูดควรยิ้มแย้มและไม่ควรก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น เมื่อเราทักทายผู้ที่อาวุโสมากกว่า ก็ควรที่จะกล่าวคำว่า สวัสดีครับ พร้อมทั้งพนมมือไหว้ การกระทำดังกล่าวนั้นจะก่อให้เกิดไมตรีจิตแก่กัน ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
 2) การแนะนำตนเอง การแนะนำตัวเองนั้นมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน เพราะเราต้องได้พบ ได้รู้จัก กับคนอื่นๆอยู่เสมอ การแนะนำตนเองมี 3 โอกาสสำคัญ ดังนี้
-การแนะนำตนเองในที่สาธารณะ การแนะนำชนิดนี้ควรจะพูดจากันเล็กน้อยก่อนแล้ว ค่อยแนะนำตัว มิใช่ว่าจู่ๆก็แนะนำตัวขึ้นมา
 - การแนะนำตนเองในการทำกิจธุระ การแนะนำชนิดนี้มักจะต้องไปพบผู้ที่ยังไม่รู้จักกันซึ่งจะต้อง นัดหมายไว้ล่วงหน้า ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ไปให้ตรงตามเวลานัด แนะนำตนเองด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป - การแนะนำตนเองในกลุ่มย่อย ควรแนะนำตนเองเพื่อให้เกิดความเป็นกันเอง และสามารถคุย หรือประชุมได้อย่างสะดวกใจยิ่งขึ้น
 3) การสนทนา เป็นกิจกรรมที่บุคคลสองคนหรือมากกว่านั้น พูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ระหว่างกันอย่างไม่เป็นทางการ แบ่งได้ 2 แบบคือ
 - การสนทนาระหว่างบุคคลที่คุ้นเคยกัน การสนทนาชนิดนี้ผู้พูดไม่ต้องคำนึงถึงมากนัก แต่ก็ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน
 - การสนทนากับบุคคลแรกรู้จัก ควรที่จะสำรวมถ้อยคำ กิริยา มารยาท ควรจะสังเกตว่า คู่สนทนานั้นชอบพูดหรือชอบฟัง
 • การพูดในกลุ่ม การพูดในกลุ่มนั้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญในสมัยปัจจุบัน ทั้งในชีวิตประจำวันและในการศึกษา โดยเฉพาะในการศึกษานั้นหากมีการแบ่งกลุ่มให้ทุกคนได้ช่วยกันออกความคิดเห็น ก็จะเป็นการเสริมสร้าง ทั้งด้านความคิด และด้านทักษะภาษา
 1) การเล่าเรื่องที่ได้อ่านหรือฟังมา การเล่าเรื่องที่ตนได้อ่านหรือฟังมานั้นไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเหตุการณ์แต่ควรเล่าแต่ประเด็นที่สำคัญๆ ภาษาที่ใช้เล่าก็ควรเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ ใช้น้ำเสียงประกอบในการเล่าเรื่อง เช่น เน้นเสียงในตอนที่สำคัญ รวมไปถึงการใช้กริยาท่าทางประกอบตามความเหมาะสมของเรื่องที่เล่า ผู้เล่าควรเรียงลำดับเรื่องให้ถูกต้อง และอาจจะสรุปเป็นข้อคิดในตอนท้ายก็ได้
 2) การเล่าเหตุการณ์ ในชีวิตประจำวันของเรานั้น มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ ในบางครั้งผู้พูดก็มีความจำเป็น ที่จะต้องเล่าเหตุการณ์นั้นให้ผู้อื่นฟัง อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจ ตื่นเต้น โดยการที่จะเล่าเหตุการณ์นั้นๆ ให้น่าสนใจ ก็ควรที่จะเริ่มต้นด้วยการแสดงเหตุผลว่าเหตุการณ์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจยังไง ใช้ถ้อยคำและภาษา สำนวนที่ทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพ เล่าเหตุการณ์ให้ต่อเนื่องกันเพื่อผู้ฟังจะได้ติดตามเรื่องได้ดี น้ำเสียงชัดเจน เน้นตอนที่สำคัญ ใช้ท่าทาง กิริยาประกอบในการเล่าด้วยเพื่อที่จะได้ดูเป็นธรรมชาติ

9 เคล็ดลับในการเจรจา และประนีประนอมกับเพื่อนร่วมงาน

 ชีวิตการทำงานมักจะไม่ราบรื่นอย่างที่เราต้องการสักเท่าไร และยิ่งทำงานแล้วมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ยิ่งทำให้ผลงานที่ออกมาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ถึงเป้าที่วางไว้ จะแก้ปัญหาอย่างไร ให้ทุกอย่างคลี่คลายเป็นไปในทางที่ดี การเจรจาและ ประนีประนอมกัน คือทางออกที่ดีที่สุด เพื่อจุดมุ่งหมายคือความสำเร็จร่วมกันของทีม ด้วยเคล็ดลับที่จะนำเสนอต่อไปนี้ อาจช่วยให้คุณพบ ทางออกสำหรับปัญหาของคุณ
1. มีทัศนคติเชิงบวก
ทัศนคติของคุณเป็นสิ่งสำคัญต่อผลการเจรจา การมีทัศนคติเชิงบวกทำให้คุณเรียนรู้ที่จะเจรจา ให้ได้ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจ และทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชนะ
2. เจรจากันต่อหน้า
หาโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกมาเจอกันและเจรจาตกลงกันต่อหน้าจะดีกว่าและควร หลีกเลี่ยงการเจรจากันทางโทรศัพท์ หรืออีเมล เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามจะไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางต่าง ๆ ที่สำคัญของคุณ ช่องว่างทางการสื่อสารเช่นนี้อาจส่งผลต่อเสียของการเจรจาของคุณ
3. ทำความเข้าใจกับประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจนและตรงกัน
ควรใช้คำพูดง่าย ๆ ในการเจรจา หากประเด็นที่ต้องการตกลงร่วมกันนั้นเป็นปัญหาใหญ่และซับซ้อน ให้แบ่งออกเป็น ประเด็นย่อย ๆ เพื่อให้สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น จากนั้นค่อย ๆ ช่วยกันคลี่คลายไปทีละประเด็น
4. ทำการบ้านก่อนเจรจา
ควรให้เวลากับการวางแผนการเจรจา เพราะไม่เพียงแต่ทำการบ้านในส่วนของตัวเองเท่านั้น แต่คุณต้องทราบถึงแรงจูงใจ และสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามให้ความสำคัญด้วย โดยอาจพิจารณาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตของเขาที่อาจมีผลต่อการเจรจา เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ยุติธรรม สมเหตุสมผล และยอมรับได้มากที่สุด
5. เจรจากันด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่อารมณ์
มองที่ปัญหา ไม่ใช่ตัวบุคคล หลีกเลี่ยงการโจมตีผู้อื่น เพื่อให้ความเห็นของตนได้รับการยอมรับ หลีกเลี่ยงการพูดถึง สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือการตำหนิผู้อื่น แต่ให้ยึดหลักเหตุผลและการมุ่งสู่เป้าหมายของส่วนรวมเป็นกรอบความคิด
6. เสนอทางเลือก
เมื่อคุณเสนอความคิดเห็นของตนเอง ควรมีหลักฐานสนับสนุนมุมมองของคุณด้วย ในขณะเดียวกันก็ควรสร้างทางเลือกที่ แสดงให้เห็นว่า คุณให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคู่เจรจามากกว่าตัวคุณเอง
7. เป็นนักสื่อสารมืออาชีพ
ไม่มีอะไรที่จะทำให้ได้ผลการเจรจาที่น่าพอใจ นอกจากการสื่อสารที่ ดี ด้วยการถาม การฟัง การทวนคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ใส่ใจในสิ่งที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญ ลดความตึงเครียดด้วยอารมณ์ขัน รวมถึงการหาทางที่จะไปสู่ทางออกหรือการประนีประนอมที่ดีที่สุด
8. จบด้วยบทสรุปที่ชัดเจน
เมื่อสามารถเจรจากันจนได้ข้อสรุปที่พึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ให้ทำบันทึกสรุปข้อตกลง โดยระบุว่าในแต่ละขั้นตอนของการแก้ปัญหาจะเป็นไปด้วยวิธีใด และใครรับผิดชอบในขั้นตอนใด จะวัดผลเมื่อไรและอย่างไร ให้ชัดเจน
9. เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับ
ให้มองไปที่ผลประโยชน์จากการเรียนรู้มุมมองของผู้อื่น หลังจากที่คุณเอาชนะความขัดแย้ง และเข้าถึงข้อตกลงได้แล้ว ควรใช้โอกาสนี้เรียนรู้จากการเจรจา เพื่อประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ได้ในโอกาสต่อ ๆ ไป
http://koratcity.no-ip.org/koratcity/book/2555/may/01-55/mt0812-v8_01.pdf





ศิลปะ การพูดสำหรับผู้นำ

ทักษะการพูดสำหรับผู้นำ

           โลกทุกวันนี้เป็นโลกของการติดต่อสื่อสาร "การพูด" เป็นวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด  คนที่จะเป็น  "ผู้นำ"  ต่อไปในอนาคตจะอยู่ในประเภทมีปากเหมือนไม่มีไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับผู้นำแล้ว  แค่ "พูดได้" เท่านั้นยังไม่พอ  ต้องถึงขั้น "พูดเป็น"  จึงจะถือว่าใช้ได้
แต่การพูดใช่ว่าอยากพูดอะไรก็พูด  สักแต่เปิดปากพรั่งพรูถ้อยคำออกมาเป็นชุด ๆ ชนิดไม่ไล่ไม่เลิก  หรือพูด ๆ ๆ ๆ โดยไม่รู้จักเวล่ำเวลา  ไม่ดูโอกาส ไม่เลือกสถานที่  ด้วยถือคติว่าฉันพอใจจะพูดซะอย่างใครจะทำไม  ถ้าทำได้แค่นั้นก็คือ  "พูดได้"  ไม่ใช่   "พูดเป็น"  เพราะผู้นำที่พูดเป็นต้องรู้ตัวและเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ควรพูดเรื่องอะไร ควรพูดเมื่อไร และควรพูดอย่างไร  พูดสั้นยาวแค่ไหน  ทั้งยังต้องพูดให้ได้ผลตามที่ตั้งใจไว้อีกด้วย
                   ทำไมผู้นำถึงต้องพูดเป็น
                   นั่นก็เพราะว่าผู้นำเกิดมาเพื่อพูดมากกว่าทำ  ในขณะที่ผู้ตามเกิดมาเพื่อทำมากกว่าพูด  ผู้นำไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรต่อมิอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง  เพียงแค่ใช้ความคิดให้ลึกซึ้งรอบด้าน  คิดจนลงตัวแล้วก็วางแผนสั่งให้ผู้ตามรับความคิดที่ว่าไปดำเนินการต่อก็ถือว่าทำหน้าที่ของผู้นำลุล่วงไปแล้วส่วนหนึ่ง
                   นอกจากนี้ผู้นำจะอยู่ในภาวะ  "ใบ้รับประทาน"  ไม่ได้เป็นอันขาด  ต้องพร้อมที่จะพูดได้อย่างเหมาะสมในทุกโอกาสและทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริหารงาน  พิธีการ  งานสังคม  การประชุมหรือการคลี่คลายข้อขัดแย้งก็ตาม  เพราะเป็นการแสดงถึงความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่นกว่าคนอื่น  แสดงถึงความกล้าหาญ ความพร้อม ความฉับไว  ทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น  การยอมรับนี่สำคัญมาก  ถ้าผู้นำไม่เป็นที่ยอมรับนับถือ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำนั้นก็ไร้ความหมาย
                   ผู้นำที่พูดไม่เป็น  "พัง"  กันมานักต่อนักแล้ว  ที่  "พัง"  ก็เพราะไม่สามารถทำ
ให้คนอื่นเชื่อถือ  ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกมาได้  พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่องฟังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจเหมือนกันแต่เข้าใจไปคนละทาง  คนอื่น ๆ เขาก็เลยไม่สามารถทำตามที่ผู้นำต้องการได้  การบริหารงานไหรือการดำเนินการใด ๆ ก็ไม่ประสบผล  การพูดให้เข้าใจชนิดไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยเสียก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้นำจะมองข้ามไปมิได้ ไม่ใช่ฟังหนแรกก็เริ่ม  "งง"  ฟังหนสองก็ชัก  "เง็ง"  พอฟังหนสามก็เลย  "เซ็ง"  อย่างนี้ถือว่าเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว
                   ผู้นำนอกจากต้องเป็นที่  "ยอมรับ"  แล้ว  ยังต้องเป็นที่  "เชื่อถือ"  อีกด้วย
ความน่าเชื่อถือของผู้นำเกิดจากสิ่งที่พูดและวิธีการพูดของผู้นำเองเป็นสำคัญ  ผู้นำที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง  ไม่พูดอะไรให้เลิศเลอดีเด่นเกินความเป็นจริง  พูดแต่สิ่งที่เป็นไปได้  ไม่พูดเอาแต่เรื่องดีใส่ตัวหรือพูดเอาแต่เรื่องชั่วใส่คนอื่น  พูดทุกสิ่งอย่างจริงใจและจริงจัง พูดได้อย่างที่อยากทำและทำได้อย่างที่พูด  พูดจาอยู่กะร่องกะรอยไม่กลับไปกลับมา  วันนี้พูดอย่าง  พรุ่งนี้พูดอีกอย่างแล้ว  รวมไปถึงพูดเฉพาะแต่เรื่องที่จำเป็น  มีประโยชน์และเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์  ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของทุกฝ่าย
                   ที่สำคัญก็คือ  ผู้นำต้องรู้จักเลือกว่าควรจะพูดอะไรและไม่ควรจะพูดอะไรอะไรก็ตามที่จะนำมาซึ่ง ความเคลือบแคลง แสลงใจ สะเทือนใจ หรือนำมาซึ่งความแตกแยกก็สมควรหลีกเลี่ยง  บ่อยครั้งที่ความรู้ทางจิตวิทยาเข้ามามีส่วนเสริมการพูดของผู้นำโดยตรง อาทิ  ผู้นำต้องรู้จักยกย่องชมเชยให้กำลังใจลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาในโอกาสอันควร  ตลอดจนรู้จักชี้แจงข้อบกพร่องผิดพลาดแทนการตำหนิติเตียนอย่างตรงไปตรงมา  ทั้งนี้เพราะผู้นำทุกคนรู้ดีว่าการพูดนั้นสร้างมิตรได้เท่าๆกับสร้าง  "ศัตรู"
                   ถึงแม้ว่าบุคลิกภาพที่เป็นมิตรและเป็นตัวของตัวเอง ไม่เลียนแบบใครของผู้นำจะมีส่วนเสริมการพูดนั้นให้น่าสนใจ  แต่หัวใจของการพูดไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพเท่านั้น  ยังขึ้นอยู่กับวิธีการพูดอีกด้วย  นั่นก็คือพูดอย่างไรจึงจะ  "กำหัวใจ"  ของคนฟังเอาไว้ได้ ถ้าพูดเมื่อไรวงแตกเมื่อนั้น อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้
                   พอพูดขึ้นมาคนฟังพักผ่อนสายตาทุกที  นี่ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน  หรือพูดครั้งไหนก็ได้ผลครั้งนั้น  คือ คนฟังทยอยลุกออกจากห้องเป็นแถว  นี่ก็ไม่ได้เรื่องอีก การพูดนั้นมีหลักอยู่ว่า
          - ถ้าจะพูดให้ "เข้าใจ"  ต้อง  "พูดสั้น ๆ ตรงเป้า  เข้าใจง่าย ไม่ใช้ศัพท์แสงรุงรัง"
          - ถ้าจะพูดให้ "ชื่นชอบ" ต้องพูดได้เนื้อหา สาระชัดเจน  ลูกเล่นพอดี ๆ มีอารมณ์ขัน  เป็นกันเอง
          - ถ้าจะพูดให้ "เชื่อถือ" ต้องพูดอย่าง "หนักแน่นมั่นใจ จริงจังจริงใจ ไม่ไร้สาระประเด็นเด่นชัดฟังแล้วศรัทธา"
          วิธีการพูดยังสัมพันธ์กับเสียงพูดโดยตรงตั้งแต่ระดับเสียง  ความดังค่อย ความช้าเร็วและความสูงต่ำ  ผู้นำต้องนึกไว้เสมอว่า ถ้า
          -  พูดด้วยเสียงราบเรียบระดับเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ คนฟังเบื่อแน่ ดีไม่ดีอาจจะหลับไปเลย
          -  พูดเร็วไปฟังไม่ทัน  พูดช้าไปฟังแล้วง่วง
          -  พูดดังไปฟังแล้วอึดอัด  พูดค่อยไปฟังแล้วรำคาญ
          -  ใช้เสียงสูงไปฟังแล้วแสบหู  ใช้เสียงต่ำไป เสียงอยู่ในคอ ฟังไม่รู้เรื่องอีก
                   การพูดนั้นอยู่คู่กับผู้นำ เป็นทักษะที่ผู้นำทั้งหลายตั้งแต่ระดับท้องถิ่นระดับประเทศขึ้นไปจนถึงระดับโลกใช้กันบ่อยที่สุด แต่จะพูดได้ดีและมีประสิทธิภาพแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นมีความตั้งใจจริงและมีความเพียรพยายามที่จะฝึกฝนปรับปรุงตนเองเพียงใด เพราะไม่มีใคร "พูดเป็น" มาตั้งแต่เกิด เป็นเรื่องของการสั่งสม การพัฒนาและชั่วโมงบินที่มากพอ
                   ผู้นำที่พูดไม่เป็น  สื่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกมาไม่ได้  ก็มีสภาพไม่ผิดอะไรกับที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในบทละครพูดสลับลำเรื่อง "วิวาห์พระสมุทร" ตอนหนึ่งว่า "ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากตาย  มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการ"
ปากใจไม่ตรงกัน  ความสัมพันธ์ไม่ยั่งยืน
ใจเกลียดแต่ปากฝืน  พูดแต่ลิ้นสิ้นความหมาย
ปากใจตรงกันเถิด  ผลจะเกิดทั้งต้นปลาย
ผู้พูดฟังสบาย  ผู้ฟังเล่าเข้าใจตรง

เทคนิคการพูด
การพูดคือส่วนหนึ่งของชีวิต  การพูดมีทั้งดีและไม่ดี แต่การพูดที่ดีนั้นมีความสำคัญมาก เพราะการพูดที่ดีจะทำให้ผู้พูดมีแต่คนรัก ไม่มีคนเกลียด  มีแต่คนให้ความเมตตา แม้ไม่มีเงินก็สามารถทำให้มีเงินฃอได้ มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราควรพูดแต่สิ่งที่ดีๆ  ควรคิดทุกครั้งก่อนที่จะพูด เพราะถ้าพูดแล้วทั้งดีและไม่ดีแก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วการพูดที่ดีนั้นเป็นอย่างไร? มีหลักการอย่างไร?
เทคนิคการพูดที่ดีนั้น  ต้องพูดเป็น  มีหลักการพูด ง่ายๆ คือ
      1. พูดให้มีเนื้อหาสาระ เชิงสร้างสรรค์ น่าสนใจ พูดแล้วทำให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจ มีความหวัง

          รู้สึกดี  สดชื่น  สมหวัง  
      2. มีความตั้งใจ จริงใจในการพูด น้ำเสียงในการพูดนั้นต้องแสดงออกถึงความจริงใจ สุภาพ
          อ่อนโยน ดังชัดเจน  ตั้งใจที่จะให้ความรู้ที่มีเนื้อหาสาระดี
      3. มีความเข้าใจผู้ฟัง ผู้ที่เราจะพูดด้วย หากเรามีความเข้าใจผู้ฟังว่าต้องการอะไร ผู้พูดมีเจตนา
          ดี การพูดนั้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

      4. การพูดที่ดีนั้นต้องให้เกียรติผู้ฟังเสมอ กริยาท่าทาง การพูดให้เกียรติซึ่งกันและกันเป็นการ

          สร้างความเป็นมิตร สร้างความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี 
http://opac.kkc.rmuti.ac.th/opac/BibDetail.aspx?bibno=1027797




Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NoDerivatives 4.0 International License.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น